นายก เน้นการลงทุนและ เศรษฐกิจ ต้องเดิน BOI เห็นพ้อง เร่งขับเคลื่อนปี 64

นายก เน้นการลงทุนและ เศรษฐกิจ ต้องเดิน BOI เห็นพ้อง เร่งขับเคลื่อนปี 64

โฆษกรัฐบาลเผย นายก รัฐมนตรีย้ำการลงทุนและ เศรษฐกิจ ต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ด บีโอไอ (BOI) เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 วันนี้ (21 ธ.ค.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ( BOI ) ครั้งที่ 2/2563 ย้ำการส่งเสริมการลงทุนและ เศรษฐกิจ ต้องเดินหน้าต่อ ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังสถานการณ์โควิด-19 ด้วยความระมัดระวังและเน้นปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด มั่นใจสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

เผยว่า นายกรัฐมนตรีย้ำในที่ประชุม ให้พิจารณาแนวทางที่จะส่งเสริมให้การลงทุนของประเทศในช่วงนี้และอนาคตดีขึ้น ทั้งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของประเทศให้ครอบคลุมไปถึงส่งเสริมการลงทุนด้านเกษตรกรรม ท่องเที่ยว ตลอดจนการส่งออกและนำเข้า เป็นต้น

เน้นสนับสนุนการลงทุนในประเทศและส่งเสริมนักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศขนาดเล็กและประเทศหมู่เกาะที่มีศักยภาพ รวมไปถึงการเร่งลงทุนนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ จะช่วยเสริมในการบริหารจัดการค่าเงินบาทได้

นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle (EV) ในประเทศให้มากขึ้น โดยเน้นรถยนต์ที่ผลิตและประกอบในประเทศไทย รวมถึงการเตรียมแผนพัฒนาแบตเตอรี่และสถานีชาร์ต ให้รองรับเพียงพอ โดยจะเริ่มนำร่องใช้รถยนต์ไฟฟ้าในส่วนราชการก่อนในปีหน้า (พ.ศ.2564) ขณะเดียวก็ส่งเสริมให้การใช้บริการระบบขนส่งคมนาคมรถไฟฟ้าให้มากขึ้น เน้นประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเรื่อง Cloud หรือ Data Center ว่ามีความจำเป็นในแง่ของการส่งเสริมการลงทุน เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคตของภูมิภาค โดยให้ดำเนินการในลักษณะแพ็จเก็จที่จูงใจและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เตรียมพร้อมทรัพยากรบุคคลที่มีขีดความสามารถ นอกจากนี้ พลังงานสะอาดจะเป็นจุดแข็งที่จะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศที่ให้ความสำคัญพลังงานสะอาดเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นและสอดคล้องกับการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาล

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 สำหรับโครงการที่มีการลงทุนจริง 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

กำหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี 

เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ หากมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การ ส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทำการแรกของปี 2564 ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2564

รวมถึงการขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด (กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย) และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค พร้อมเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EECmd) รวมทั้งเห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคต เป็นต้น

ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ที่ผู้ลงทะเบียนรอบใหม่ ได้รับสิทธิ์คนละครึ่ง 3,500 บาท กระทรวงการคลังได้ส่งข้อความ SMS แจ้งยืนยันสิทธิให้แก่ผู้ได้รับสิทธิแล้วทุกราย ซึ่งหากติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตนครบถ้วนตามขั้นตอนแล้ว จึงจะสามารถใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ได้ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2564 โดยได้รับสิทธิในวงเงินร่วมจ่ายจากรัฐวันละไม่เกิน 150 บาท รวมไม่เกิน 3,500 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ

โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 สามารถเลือกยืนยันตัวตนได้หลายช่องทางตามความสะดวก ได้แก่ (1) ยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” (2) ยืนยันตัวตน ณ สาขาธนาคารกรุงไทย หรือ (3) ยืนยันตัวตนโดยใช้บัตรประชาชน ณ ตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทย (สามารถค้นหาตำแหน่งของตู้เอทีเอ็มสีเทา โดยพิมพ์คำว่า “ATM กรุงไทย ยืนยันตัวตน” ใน Google Map) อย่างไรก็ดี ภายหลังจากยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ภายใน 14 วัน คือ ภายในวันที่ 14 มกราคม 2564 มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการโดยอัตโนมัติ

Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่า